วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557

เทคนิคการถ่ายภาพไทม์แลป




เทคนิคการถ่ายภาพไทม์แลป

เป็นเทคนิคการถ่ายภาพนึ่งที่เป็นกึ่งสื่อผสมระหว่าง ภาพถ่ายกับมัลติมีเดีย เพราะเป็นการนำภาพถ่าย
ที่เราได้ถ่ายไว้มาลงใน โปรแกรมเพื่อที่จะเรียงภาพและรันภาพให้กลายเป็นวีดีโอ
      การถ่ายภาพไทม์แลปเป็นการถ่ายภาพ ที่ต้องใช้ความอดทนสูง เพราะต้องถ่ายแบบนับจำนวนวิ กี่วินาที ถึงจะกดชัตเตอร์1ครั้ง และที่สำคัญคือต้องถ่ายตลอดทั้งวันเป็นเวลาหลายชั่วโมงติด
เพื่อให้ได้ภาพมาเรียงกันแล้วเกิดเป็นภาพเคลื่อนไหว คล้ายๆกับตั้งวีดีโอถ่าย 
    
     ขั้นตอนการถ่าย
 1.หาสถานที่ที่เหมาะแก่การถ่าย
 2.ตั้งขาตั้งกล้องไว้กับที่ มาร์คจุดขาตั้งกล้องไว้
 3.ถ่ายภาพพร้อมนับจำนวนวินาทีต่อครั้ง
 4.ต้องมีคนช่วยจดว่าตอนนี้ได้จำนวนเท่าไหร่
 5.นำภาพที่ได้มาทั้งหมดมาลงโปรแกรม เพื่อจะเรียงภาพและตั้งจำนวนการแสดงภาพ
ในแต่ละภาพเพื่อให้เกิดเป็น คลิปวีดีโอ

     อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
 1.กล้อง
 2.เมมเมอร์รี่ (อย่างน้อย2ตัว)
 3.ขาตั้งกล้อง
 4.สมุดจดปากกา
 5.โปรแกรมการเรียงภาพทำคลิปวีดีโอ
ผลงานที่ได้ทดลอง


วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557

เทคนิคการถ่ายภาพ STOPMOTION




เทคนิคการถ่ายภาพ STOPMOTION


เป็นเทคนิคการถ่ายที่เป็นกึ่งกลางสื่อระหว่าง ภาพถ่ายกับภาพยนตร์ แต่โดยหลักการ สื่อที่ได้มา ต้องเริ่มมาจากการถ่ายภาพ โดยการถ่ายภาพสต็อปโมชั่น ก็จะเป็นการถ่ายในเชิงเรื่องราว ที่นำภาพที่เราได้ถ่ายมาเรียงกันให้เกิดเรื่องราว ซึ้งเราก็จะต้องมีการวางแผน ที่จะนำภาพไปต่อให้เป็นเรื่องราวตามที่เรากำหนด  แต่เทคนิคการถ่ายนี้ก็จะต้องมีขั้นตอนในการถ่ายที่ค่อนข้างยาก พอสมควร


ผลงานที่ได้ทดลองทำมา 






เทคนิคการถ่ายภาพ สรา้งสรรค์(บังหน้ากล้อง)




เทคนิคการถ่ายภาพ สรา้งสรรค์(บังหน้ากล้อง)


เป็นเทคนิคการถ่ายภาพที่ใช้ความสรา้งสรรค์ของ ความคิดและเทคนิคการถ่ายภาพ
เป็นการถ่ายที่จะต้องมีวัตถุสีดำมืดขนาดประมานใหญ๋กว่าหน้าเลนส์
เพื่อนำมาปิดบริเวณหน้าเลนส์  ในขณะที่กำลังบันทึกภาพอยู่ ด้วยสปีตชัตเตอร์ B 
เพื่อจะให้เกิดภาพสร้างสรรค์ ที่มีวัตุสิ่งนึงหยุดนิ่ง และอีกสิ่งกำลังเคลื่อนไหว 

               

             อุปกรณ์ที่ต้องใช้
       1กล้อง
       2ขาตั้งกล้อง
       3วัตถุสีดำทึบขนาดใหญ๋กว่าหน้าเลนส์


ในภาพนี้ซึ้งความเป็นจริง ชิงช้าสวรรค์หมุนอยู่ขณะ บันทึกภาพ







เทคนิคการถ่ายภาพใกล้




เทคนิคการถ่ายภาพระยะใกล้

การถ่ายภาพระยะใกล้ (Close up) เน้นรายละเอียด หรือการถ่ายภาพวัตถุขนาดเล็ก สามารถถ่ายโดยใช้ฟิลเตอร์ Close up ซึ่งมีลักษณะเป็นเลนส์ขยาย จำหน่ายเป็นชุด ๆ ละ 3 อัน สามารถต่อกันได้ แต่ต้องระวังในการถ่ายเพราะ ภาพจะชัดเฉพาะ ตรงกลางภาพ ส่วนด้านขอบของภาพจะไม่ชัดเพราะความโค้งของเลนส์ ยิ่งใช้ฟิลเตอร์หลายตัวยิ่งลดความคมชัดของภาพลง ถ้าต้องการคุณภาพดี ควรใช้เลนส์มาโคร หรือเลนส์ถ่ายใกล้ จะให้รายละเอียดของภาพมากยิ่งขึ้น การถ่ายภาพต้องระวังอย่าให้สั่นไหวเด็ดขาด ควรใช้ขาตั้งกล้องและสายลั่นชัตเตอร์เข้าช่วย หรือพยายามใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่สูง จะช่วยได้มาก


  • การถ่ายภาพระยะใกล้ต้องมีอุปกรณ์ดังนี้
    1.
    กล้องถ่ายภาพ นิยมใช้กล้องแบบสะท้อนเลนส์เดี่ยว ซึ่งจะไม่เกิดความเหลื่อมขณะมองภาพที่ช่องเล็งภาพ
    2.
    เลนส์ที่ใช้ควรเป็นเลนส์มาโคร (Macro)แต่ถ้าสีเลนส์มาตรฐานก็สามารถใช้เลนส์ถ่ายใกล้ (Close






เทคนิคการถ่ายภาพซ้ำ




เทคนิคการถ่ายภาพซ้ำ

      เป็นเทคนิคที่ต้องพึ่ง วัตถุ สิ่งของ หรือสถานที่ เป็นหลักที่จะถ่ายให้ภาพออกมา มีการซ้ำๆกัน
ของตัววัตถุที่เราจะถ่าย โดยการถ่ายก็ต้องเน้นให้มีการ องค์ประกอบด้วย เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์
ของภาพ โดยมีการถ่ายให้วัตถุชิ้นแรกมีความโดดเด่น แล้วก็มีชิ้นต่อๆไปซ้ำๆกัน และให้ดีก็น่าจะให้วัตถุ
ในส่วนที่เหลือมีมุมมองไปในทางเดียวกัน หรือกลายเป็นเส้นนำสายตา 







เทคนิคการถ่ายภาพสถาปัตยกรรม




เทคนิคการถ่ายภาพสถาปัตยกรรม


       ทิศทางแสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพสถาปัตยกรรมมากที่สุดก็คือ “แสงด้านข้าง (Side Light)” 
ทิศทางแสงที่มาจากด้านข้างนี้จะต้องมาในแนวเฉียงข้างค่อนไปทางด้านหน้าของสถาปัตยกรรมนั้น ไม่ควรเป็นแสงเฉียงแต่มาจากด้านหลัง เพราะการถ่ายภาพย้อนแสงโอกาสที่จะได้เหลี่ยมเงาอันสวยงามของสถาปัตยกรรมนั้นทำได้ยากมากๆ และสีสันของสถาปัตยกรรมก็ไม่โดดเด่นเลย หากให้เลือกระหว่างการถ่ายภาพย้อนแสงกับการถ่ายภาพตามแสงตรงๆแล้ว ขอเลือกเป็นการถ่ายภาพตามแสงตรงๆดีกว่าเพราะยังได้สีสันที่สดใสของสถาปัตยกรรมแม้ว่าสถาปัตยกรรมนั้นจะขาดมิติแห่งความลึกก็ตาม

   ทิศทางแสงด้านข้างนี้นอกจากจะช่วยทำให้สถาปัตยกรรมที่แสดงลวดลายนูนสูง, นูนต่ำ หรือลอยตัว มีความสวยงามเน้นลวดลายได้อย่างงดงาม

ทิศทางแสงจากด้านหน้า (Front Light) ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะกับการถ่ายภาพสถาปัตยกรรมนักอย่างที่กล่าวในข้างต้นแล้ว แต่สถาปัตยกรรมบางแห่งที่มีแต่ความราบเรียบแล้วใช้ศิลปด้านจิตรกรรมแทน ทิศทางแสงด้านหน้าจะช่วยเน้นให้เห็นรายละเอียดของจิตรกรรมได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ต้องระวังในเรื่องการสะท้อนไว้บ้าง เพราะวัตถุที่มีความเรียบและมีความมันมักจะสะท้อนแสงได้เป็นอย่างดี 









เทคนิคการถ่ายภาพเขียนแสง




เทคนิคการถ่ายภาพเขียนแสง

       เป็นเทคนิคการถ่ายภาพเทคนิคหนึ่ง ที่มีความน่าสนใจและความสนุก อยู่ในเทคนิค 
เป็นการใช้ทั้งความคิดและจินตนาการ ต่อการสร้างผลงานให้เป็นภาพออกมา ตามที่เราได้วางแผน
ที่จะเริ่มเขียนแสงให้ออกมาเป็นรูปร่าง


วิธีการถ่ายภาพ เขียนไฟ ที่เขียนด้วยไฟฉาย หรือ ไฟเย็น


1 ) กำหนดจุดโฟกัสก่อน (ตั้งโฟกัสแบบ แมนนวล)

2 ) ปรับโหมด M (โหมด แมนนวล)

3 ) ตังรูรับแสง ประมาณ F8 - F16 เพื่อ (จะได้ความคมชัดทั้งภาพ และภาพ จะไม่สว่างเกินไป)

4 ) ความเร็วชัตเตอร์ สัมพันธ์ กับ รูรับแสง (หรือ ระยะเวลา เท่าที่เราจะเขียนไฟเสร็จ)

5 ) ตั้ง white balance เป็น daylight (เพื่อดึงสีสรรของแสงไฟ)

6 ) หา Background ที่มืดๆหน่อย (เพื่อที่ตัวไฟที่เราเลือกมาจะดูโดดเด็น)

7 ) เริ่มถ่าย ได้เลย Let GO !!`

8 ) เริ่มวาดภาพ ด้วยไฟ ได้เลย จะวาดกลับด้าน หรือไม่กลับด้าน ก็ได้ (เพราะเราสามารถกลับด้านใน โปรแกรมแต่งรูปต่างๆได้)










เทคนิคการถ่ายภาพวิว




เทคนิคการถ่ายภาพวิว


     คำว่า ภาพวิวทิวทัศน์ที่ดี อาจมองได้หลายมุม บ้างว่าต้องแสงสวย บ้างเน้นที่การจัดวางองค์ประกอบของภาพ บางคนว่าต้องมีอารมณ์อยู่ในนั้น บางความเห็นว่าต้องเป็นภาพที่มีความลึก และอีกสารพันคำตอบที่จะว่าไปแล้วก็แทบไม่มีข้อได้ผิด สำหรับมุมมองในส่วนของผู้เขียนเอง เห็นว่าทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องไม่อาจละเลยได้ทั้งสิ้น ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ภาพวิวทิวทัศน์ภาพนั้น ๆ มีคุณค่ามีความหมาย ภาพ ๆ นั้น จะต้องสามารถแสดงความเป็นเอกลักษณ์ หรือจุดเด่นของสถานที่นั้น ๆ ออกมาให้ได้มาที่สุด และเงื่อไขอันจำเป็นที่จะเอื้อให้เกิดภาพอย่างที่ว่ามานั้นก็ขึ้นอยู่กับเรื่องของ "เวลา"

เทคนิคพื้นฐานของการถ่ายภาพทิวทัศน์

          โดยทั่วไปแล้วการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ไม่ค่อยมีเทคนิคอะไรที่ซับซ้อน เพียงเน้นให้ภาพมีความคมชัด และสีสันที่สดใสเป็นหลัก และเป็นภาพในลักษณะที่ต้องการช่วงความชัดค่อนข้างมากเป็นพิเศษ คือมีความชัดตั้งแต่ฉากหน้าไปจนฉากหลังที่เป็นทิวเขาหรือท้องฟ้า ดังนั้นการฝึการควบคุมช่วงความชัดให้ได้ตามใจต้องการจึงเป็นสิ่งสำคัญ

          ปัจจัยแรกที่ส่งผลโดยตรงต่อช่วงความชัดก็คือ ช่องรับแสง หรือ เอฟนัมเบอร์ (F-STOP) การใช้ช่องรับแสงกว้าง ระหว่าง f/1.4 – f/4 จะส่งผลให้มีช่วงความชัดเกิดขึ้นน้อยอย่างที่เรียกกันว่า "ชัดตื้น" คือมีความชัดเกิดขึ้นเฉพาะในบริเวณจุดโฟกัสเท่านั้น ที่ไกลออกไปก็จะเบลอ ตรงกันข้ามกับการใช้ช่องรับแสงแคบ ตั้งแต่ f/11 ขึ้นไปที่จะส่งผลให้มีช่วงความชัดเกิดขึ้นมาก อย่างที่เรียกกันว่า "ชัดลึก" ซึ่งเหมาะสำหรับการถ่ายภาพทิวทัศน์มากกว่า
          ปัจจัยตัวที่สองที่มีผลต่อช่วงความชัดก็คือ ตำแหน่งในการโฟกัสภาพ ลักษณะในการเกิดช่วงความชัดของภาพจะมีระยะเกิดขึ้นหน้าจุดโฟกัสหนึ่งส่วน และเกิดหลังจุดโฟกัสสองส่วน เป็นอัตราส่วน 1:2 อย่างนี้เสมอ หากทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว จะทำให้เราสามารถสร้างช่วงความชัดที่เพียงพอต่อความต้องการ โดยการใช้เพียงช่องรับแสงกลาง ๆ เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ช่องรับแสงแคบ ๆ เสมอไป การโฟกัสภาพไปที่ระยะทางหนึ่งในสามของภาพนี้มีชื่อเรียกว่า "Hyper Fogus"
















เทคนิคการถ่ายภาพบุคคล Portrait




เทคนิคการถ่ายภาพบุคคล 
Portrait

เทคนิคการถ่ายภาพบุคคล Portrait (FOTOINFO)

          ไม่ว่าเราจะถ่ายภาพบุคคลที่เป็นดาราผู้โด่งดังคับฟ้า เป็นเศรษฐีพันล้าน หรือเป็นตาสียายสายากจนไร้คนรู้จัก มันก็ต้องใช้พื้นฐานหรือความรู้ทางการถ่ายภาพในแบบเดียวกัน ซึ่งเรื่องพื้นฐานที่สุดที่ต้องยกมากล่าวถึงเป็นลำดับแรกก็คือเรื่องของ แสง ซึ่งแบ่งย่อยได้เป็น 2 ส่วน คือ ลักษณะของแสง และทิศทางแสง

ลักษณะของแสงในการถ่ายภาพพอร์เทรต 

          มีหลัก ๆ อยู่ 2 แบบคือ แสงนุ่ม และแสงแข็ง

          1. แสงนุ่ม คือ แสงในวันที่ฟ้าหลัว มีเมฆมาก หรือแสงจากภายในอาคาร หากเป็นแสงจากแฟลช ก็ต้องยิงผ่านซอฟท์บ๊อกซ์ ผ่านร่มสะท้อน ร่มทะลุ หรือเครื่องกรองแสงประเภทต่าง ๆ เป็นแสงที่ให้ความสว่างกับวัตถุ แต่จะไม่มีเงาเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นน้อยมาก

2. แสงแข็ง คือแสงจากแหล่งกำเนิดแสงตรง ๆ แรง ๆ เช่น วันที่ฟ้าไร้เมฆ ดวงอาทิตย์ลอยเด่นทั้งวัน หรือแสงจากแฟลชที่ยิงเข้าวัตถุตรง ๆ โดยไม่ผ่านเครื่องกรองแสงใด ๆ หรือแม้กระทั่งไฟจากสปอตไลท์ที่ฉายเข้าวัตถุจากในระยะใกล้ก็ถือเป็นแสงแข็งได้เช่นกัน


เรื่องควรรู้เกี่ยวกับทิศทางของแสง

           แสงหน้าตรง แสงในทิศทางนี้จะให้รายละเอียดของวัตถุได้ดีใน ขณะที่จะทำให้วัตถุดูค่อนข้างแบนราบ

           แสงเฉียงข้าง ตามมาตรฐานคือ 45 องศาจากทางด้านซ้ายหรือขวา แสงในทิศทางนี้ให้ภาพของวัตถุที่ดูมีความลึก มีมิติ มีรูปทรงที่ชัดเจน ในขณะที่วัตถุอาจขาดรายละเอียดในบางส่วน โดยเฉพาะส่วนที่อยู่ในเงามืด

           แสงหลัง แสงในทิศทางนี้ให้รายละเอียดของวัตถุได้น้อย มิติความลึกก็ไม่มี แต่จะเป็นแสงที่ขับเน้นโครงร่างบริเวณขอบของวัตถุได้ชัดเจน

           แสงริมไลท์ (Rim Light) ซึ่งเป็นแสงที่ทำให้เกิดความสว่างบริเวณขอบของวัตถุ โดยเฉพาะในส่วนที่โปร่งแสง เช่น เส้นผม แต่เนื่องจากมันเป็นแสงที่เข้ามาจากด้านหลังของวัตถุ ดังนั้น จึงมักนิยมใช้ร่วมกับแสงอีกส่วนหนึ่งที่เสริมเข้าไปยังด้านหน้าของวัตถุ ซึ่งสามารถสร้างได้จากการใช้แผ่นสะท้อนแสง (Reflex) ประเภทต่าง ๆ หรือแสงจากแฟลช













เทคนิคการถ่ายภาพ OPEN FLASH



เทคนิคการถ่ายภาพ OPEN FLASH

การถ่ายภาพแบบ OPEN FLASH     
                การถ่ายภาพแบบ Open flash เป็นวิธีการถ่ายภาพแบบหนึ่งที่ใช้แสงจากแฟลช ถ่ายในที่มืดโดยตั้งความเร็วชัตเตอร์ที่ B กดชัตเตอร์ถ่ายไว้ แล้วใช้แฟลชแวบตรงบริเวณที่ต้องการถ่ายหลายๆ ครั้งให้ได้แสงบันทึกในฟิล์ม (exposure)  พอดีแล้วจึงปล่อยไกชัตเตอร์ โดยไม่ต้องเสียบซิงโครไนท์ของแฟลชกับกล้องถ่ายภาพ
              อุปกรณ์ในการถ่ายภาพแบบ Open flash กล้องถ่ายภาพควรใช้กล้อง SLR ที่มีความเร็วชัตเตอร์ B หรือ T ขาตั้งกล้อง สายลั่นไกชัตเตอร์ แฟลช และกระดาษแก้วสีที่ผนึกกรอบให้ถือได้

หลักการถ่ายภาพแบบ OPEN FLASH
       1.กล้องบนขาตั้งกล้องให้มั่นคง ความสูงต่ำของขาตั้งกล้อง แล้วแต่มุมมองที่ต้องการ
       2.ภาพในช่องมองภาพตามลักษณะของการจัดประกอบต่างๆ
       3.ความเร็วชัตเตอร์ B เสียบสายลั่นไกชัตเตอร์
       4.ชัตเตอร์ถ่ายภาพจากสายลั่นไกชัตเตอร์แล้ว lock ไว้ เพื่อให้ใบชัตเตอร์เปิดไว้ตลอดเวลาเพื่อบันทึกภาพ และเพื่อป้องกันการสั่นไหวของกล้อง
      5.แฟลชแวบแสงไปตามบริเวณที่จัดในช่องมองภาพ ระหว่างแวบไฟอย่าให้ผู้ถือไฟแฟลชเข้าไปในบริเวณภาพ ไม่เช่นนั้นจะติดเข้าไปในภาพด้วย
      6.จำนวนแสงที่แวบจะอยู่ที่ระยะทางระหว่างวัตถุกับแสงไฟ ถ้าระยะไกล การแวบก็มากครั้ง ถ้าระยะทางใกล้ก็แวบน้อยครั้งตามจำนวนที่ผ่านการทดลองมาแล้ว
       7.ควรระวังคือ สถานที่จะต้องมืด ถ้ามีแสงแสงนั้นก็จะบันทึกเข้าไปในฟิล์มด้วย ถ้าต้องการให้แสงนี้ประกอบในการให้แสงก็ไม่มีปัญหาอะไร และจะต้องไม่มีสิ่งเคลื่อนไหวได้ในภาพ ไม่เช่นนั้นสิ่งนั้นจะพร่า ไม่ชัดเจน
















วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

เทคนิคการถ่ายภาพดอกไม้




การถ่ายภาพดอกไม้

ุอุปกรณ์ที่ต้องเตรียม



1. เลนส์
เลนส์ที่เหมาะสม กับการถ่ายภาพดอกไม้มากที่สุดก็คือเลนส์ Macro  เพราะเป็นเลนส์ที่ออกแบบมาสำหรับการถ่ายภาพในระยะใกล้โดยเฉพาะ ทำให้เราสามารถถ่ายภาพดอกไม้ได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ขนาดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงดอกไม้ขนาดใหญ่ๆ 
แต่เรานั่นก็ยังสามารถใช้เลนส์ทั่วไป ถ่ายได้หมดควบคู่กับระบบ Macro ได้ (ส่วนใหญ่ปุ่มที่ใช้เลือกฟังก์ชัน Macro จะมีสัญลักษณ์รูปดอกไม้) ซึ่งเมื่อเราเลือกใช้ระบบนี้แล้วจะทำให้กล้อง จะเช็ตระบบให้ถ่ายในระยะใกล้กว่าปกตินั่นเอง




2. การเปิดรูรับแสง และการวัดแสง

รูรับแสงที่นิยมสำหรับการถ่ายภาพดอกไม้คือรูรับแสงที่ค่อนข้างกว้าง (f4 – f5.6 ขึ้นอยู่กับชนิดของเลนส์ด้วย) ทั้งนี้เพื่อให้มีระยะชัดตื้น ทำให้เราได้ภาพที่ดอกไม้ลอยเด่นเหนือฉากหลังเกิดมิติมากยื่งขึ้น

สำหรับการถ่ายภาพดอกไม้ที่เป็นสีขาว ให้ชดเชยแสงให้ over ประมาณ 0.5-1 stop เพราะดอกไม้สีขาวจะหลอกเครื่องวัดแสงทำให้กล้อง รับแสงน้อยกว่าปกติ ถ้าไม่ชดเชยแสงดอกไม้แล้ว สีขาวจะออกมาเป็นสีขาวขุ่นหรือสีเทาๆดูแล้วไม่สดใสครับ เหมือนดอกไม้จริงๆ


3. ฉากหลังดอกไม้ที่เหมาะสม
การเลือกฉากหลัง หรือ Background นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญมากเลยที่เดียวครับ   เราควรเลือก Background ที่ไม่มาแย่งสายตาของผู้ชมไปจากดอกไม้อันสวยงามของเราไป 
 ควรพยายามมองหามุมถ่ายภาพที่ Background เป็นเรียบๆอย่างใบไม้ หรือ ท้องฟ้า แทนที่จะเป็นสีเสื้อของคนที่อยู่แถวๆ นั้น หรือ Backgound ควรจะมีแสงและสีที่ช่วยขับให้ดอกไม้ดูโดดเด่นขึ้น ซึ่งเราอาจใช้เทคนิดนำกระดาษสีเขียวอ่อน เขียวเข้ม หรือดำ มาวางด้านหลังดอกไม้ก็ได้เราก็จะได้ฉากหลังที่เรียบเนียนช่วยทำให้ดอกไม้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น


4. จัดวางดอกไม้ไว้จุดไหนดี
ในกล้องสี่เหลี่ยมที่เรามองนั่น เราต้องคิดอยู่ในใจแล้วเราควรจะวางดอกไม้ให้อยู่ส่วยไหนของภาพดีนะ  วางซ้าย หรือ วางขวา จะหนึ่งดอก สามดอก สี่ดอก










เทคนิคการถ่ายภาพเคลื่อนไหว




เทคนิคการถ่ายภาพเคลื่อนไหว



การถ่ายภาพเคลื่อนไหว หมายถึง   การถ่ายภาพของวัตถุที่เคลื่อนไหว เช่น คนวิ่ง
กระโดดโลดเต้น เล่นชิงช้ากระโดดสูง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน รถกำลังแล่น หรือการแข่งขันกีฬา
ด้านความเร็วประเภทต่าง ๆ

    การถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนไหว ดังกล่าวอาจจะทำได้ใน 3 ลักษณะ คือ



1. การจับภาพวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวให้หยุดนิ่ง (Stop – action)
  การถ่ายภาพในลักษณะนี้ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์ให้สูง เช่น 1/250, 1/500 หรือ
1/1000 วินาที ตามความเหมาะสมกับความเร็วของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่
 เมื่อตั้งความเร็วชัตเตอร์ สูง ๆ จำเป็นต้องเปิดช่องรับแสงให้กว้างขึ้น เพื่อชดเชยให้แสง
การถ่ายภาพวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวให้หยุดนิ่งได้นั้น จะตั้งความเร็วชัตเตอร์เท่าใดย่อมขึ้นอยู่กับ
องค์ประกอบ 4 ประการ คือ

1) ความเร็วของวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหว
2) ทิศทางการเคลื่อนไหวของวัตถุ
3) ระยะทางจากกล้องถึงวัตถุ
4) ความยาวโฟกัสของเลนส์














การถ่ายภาพหุ่นนิ่ง



การถ่ายภาพหุ่นนิ่ง

       การถ่ายภาพหุ่นนิ่ง หมายถึง การถ่ายภาพวัตถุสิ่งของต่าง ๆ เช่น แจกันดอกไม้ ถ้วยจานช้อนซ้อม ขวดเหล้า เบียร์ แก้ว บุหรี่ น้ำหอม เสื่อผ้า รองเท้า ผัก ผลไม้ อาหาร ฯลฯ 
          จุดมุ่งหมายส่วนใหญ่ก็เพื่อนำภาพไปจัดทำเป็นสื่อในการโฆษณา เช่น ทำปกหนังสือ วารสาร โปสเตอร์ หรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ
          การฝึกถ่ายภาพหุ่นนิ่ง จะช่วยให้เราได้เรียนรู้เทคนิคต่าง ๆในการถ่ายภาพได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะวัตถุสิ่งของต่าง ๆที่นำมาถ่ายภาพจะอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหวเราสามารถทดลองจัดภาพได้หลาย ๆแบบตามต้องการ ส่วนการใช้แสงก็ทำได้หลายลักษณะ อาจใช้แสงธรรมชาติ แต่ส่วนมากมักใช้แสงไฟประดิษฐ์ เพราะสามารถควบคุมทิศทางตลอดจนปริมาณของแสงสว่างได้ตามความเหมาะสม



            ขั้นตอนการถ่ายภาพหุ่นนิ่ง
          1. จัดสถานที่ได้แก่ โต๊ะชุดสำหรับถ่ายภาพหุ่นนิ่งประกอบด้วยขาตั้งเหล็ก หรืออลูมิเนียมมีแผ่นพลาสติกสีต่าง ๆ เช่นสีขาว ดำ น้ำเงิน และม่วง เป็นที่วางวัตถุที่จะถ่ายภาพ ผิวหน้าของแผ่นพลาสติกมี 2 ด้าน ด้านหนึ่งผิวด้าน ส่วนอีกด้านหนึ่งผิวจะมัน คุณสมบัติของแผ่นพลาสติก คือถ้าใช้ไฟส่องด้านบนจะได้แสงตกกระทบธรรมดา แต่ถ้าใช้ไฟส่องจากด้านล้าง แสงจะสามารถทะลุพื้นพลาสติกขึ้นด้านบนสามารถใช้เป็นแสงสำหรับลดเงา หรือใช้เป็นแสงส่องจากพื้นล้างและด้านหลังของวัตถุ
          2. ออกแบบ สเก็ตภาพ (lay – out) การจัดวางองค์ประกอบของวัตถุ ซึ่งจะทำให้ผู้ร่วมงานเข้าใจรูปแบบและแนวคิด สามารถจัดหาวัตถุประกอบฉาก ตลอดจนการจัดภาพได้ถูกต้องและรวดเร็วขึ้น
          3. จัดหาวัตถุ สิ่งของ ที่จะถ่ายภาพ ถ้าเป็นประเภทผัก ผลไม้ ควรเตรียมไว้ให้มากพอ คอยฉีดน้ำดูแลให้สดอยู่เสมอ
          4. นำวัตถุสิ่งของที่จะถ่าย วางบนโต๊ะถ่ายภาพ โดยจัดวางตามแบบที่สเกตภาพไว้
          5. ทดลองจัดแสง ซึ่งอาจใช้หลอดไฟทังสเตน ถ้าเป็นการถ่ายภาพชิ้นเล็ก ๆ ก็ใช้สปอตไลท์ 500 วัตต์ 2-3 ดวงแต่ถ้าเป็นการถ่ายภาพขนาดใหญ่ ก็ต้องใช้ไฟที่มีกำลังวัตต์สูง ๆ เช่น 2000 วัตต์ถึง 5000 วัตต์ โดยใช้ผ่านแผ่นกรองแสงเพื่อให้ได้แสงที่นุ่มนวล ใช้แผ่นสะท้อนแสงลดเงาและอาจใช้ไฟส่องฉากหลัง เพื่อเน้นวัตถุให้เห็นเด่นชัดในปัจจุบันนิยมใช้แฟลชอิเลคทรอนิคส์ มีอุปกรณ์ เช่น ร่มสะท้อนแสง จานสะท้อนแสง ประตูโคม (Barn doors) กรวยแสง (Snoot) ซึ่งจะให้ความสะดวก สามารถบังคับทิศทางและปริมาณของแสงได้ตามต้องการ
          6. กล้องสำหรับถ่ายภาพหุ่นนิ่ง ถ้าไม่จำเป็นต้องนำภาพไปขยายให้ใหญ่มาก ก็อาจใช้กล้อง ขนาด 35 มม.แต่ถ้าต้องการขยายภาพให้มีขนาดใหญ่ ก็ควรใช้กล้องขนาดกลางที่ใช้ฟิล์มขนาด 4” x 5” กล้องถ่ายภาพต้องตั้งบนขาตั้งกล้องให้มั่นคง เพราะการถ่ายภาพหุ่นนิ่งต้องการภาพที่ละเอียดชัดเจน และชัดลึกจึงต้องเปิดช่องรับแสงให้แคบมาก ๆ เช่น f16 ฉะนั้นความเร็วชัตเตอร์ จะต้องช้ามากเพื่อให้สัมพันธ์กับขนาดช่องรับแสง